วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3


วันศุกร์ที่  20  มกราคม  2560

เนื้อหาที่เรียน
                  ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
         1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กฉลาด

         ตอบคำถาม       
         สนใจเรื่องที่ครูสอน
         ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
         ความจำดี
         เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
         เป็นผู้ฟังที่ดี 
         พอใจในผลงานของตน
Gifted 
         ตั้งคำถาม 
         เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
         ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
         อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
         เบื่อง่าย  
        ชอบเล่า 
ติเตียนผลงานของตน 
          2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา  (Children with Intellectual Disabilities)
         หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกันมี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า  
         - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้  
         - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ  
         - ขาดทักษะในการเรียนรู้  
         - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย 
         - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
เด็กปัญญาอ่อน  
         - ระดับสติปัญญาต่ำ  - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย  
         - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง  
         - อาการแสดงก่อนอายุ 18
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
         •  ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
         •  ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
         •  ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
         •  ทำงานช้า
         •  รุนแรง ไม่มีเหตุผล
         •  อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน/ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ
•ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
•ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน  (Children with Hearing Impaired )
          หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ 
ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง  
          หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
         1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
         2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
         3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
         4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
เด็กหูหนวก   
          - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
          - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้ 
          - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ 
          - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป 
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น  (Children with Visual Impairments) 
          - เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง  
          - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง  
          - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ  
          - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
 เด็กตาบอด  
           - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง  
           - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้  
           - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท 
           - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท    
           - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
           - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ  
           - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น 
           - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา 
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
                  ความรู้ที่ได้ในวันนี้สามารถนำไปต่อยอดได้ในการสังเกตเด็กที่มีปัญญาเลิศ ความบกพร่องทางสติปัญญา และเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 
          การประเมินผล
ประเมินตนเอง : มีการจดบันทึกเพิ่มเติมจากเนื้อหา เข้าเรียนตรงเวลา
ประเมินอาจารย์  :  ก่อนเริ่มเนื้อหาการเรียนอาจารย์ได้นำเนื้อหาเดิมมาทบทวนความรู้ให้อีกครั้ง ทำให้                      เราเข้าใจเรื่องที่จะเรียนมากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น